5 หนังรักหลากรส ที่จะทำให้เรารู้ว่าความรักมันไม่ง่าย และไม่มีวันง่าย

ในวันที่แม้แต่ความรู้สึกที่คอยปลอบประโลมโลกใบนี้อย่างความรักก็ไม่เข้าข้างเรา มันทำให้ทุกอย่างดูหม่น เหมือนถูกปรับ Saturation ลง 30% กว่าจะเก็บเศษซากความรู้สึก มาซ่อมแซมตัวเองให้เป็นเหมือนเดิมได้ ถอนหายใจกันไม่รู้กี่รอบ ก็แน่ล่ะ พอรักมันเริ่มคืบคลานเข้ามาเกาะกินความรู้สึกแล้ว วินาทีหลังจากนั้นมันจะไม่มีอะไรง่ายอีกต่อไป

เรื่องของเรื่องคือจะชวนมาดูหนังรัก 5 เรื่อง ที่ไม่ต้องดูหมดก็ได้ เลือกเอาที่ถูกใจสักเรื่องก็แล้วกัน (เพราะปกติเรามักจะชอบดูหนังรักที่มันใกล้เคียงกับเรื่องของตัวเองกันอยู่แล้ว) แล้วเก็บสารที่ถูกสื่อออกมาผ่านหนัง ผ่านตัวละคร ให้เราได้รู้ว่าขึ้นชื่อว่าความรัก มันไม่เคยมีอะไรง่าย และมันก็จะไม่มีวันง่ายด้วยเหมือนกัน

ขอดอกจันหลายพันดอกเลยว่า หนังที่แนะนำ มันก็คือแนะนำแบบบอกเล่าเก้าสิบ ไม่ใช่จัดอันดับหนังดีในดวงใจ ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องโวยวาย ว่าทำไมหนังในดวงใจของตัวเองถึงไม่ติดอันดับ เพราะนี่ไม่ใช่การจัดอันดับไงล่ะ อีกอย่างคือพยายามเลือกหนัง Underrated เลี่ยงหนังที่ใคร ๆ ก็เอาไปติดโผอยู่ตลอดเวลา อย่าง (500) Days Of Summer, Blue Valentine, One day อะไรเทือก ๆ นั้น พอนึกออกใช่มะ เบื่อเหมือนกันใช่มะ ฟีลแบบ อยากดูหนังที่ยังไม่เคยดูบ้าง แต่เปิดดูลิสต์พวกนี้ที่ไรแม่งเหมือนกันหมดทุกที่เลย ก็เซ็ง ๆ ปะ

 

From The Land Of The / Moon Mal de pierres (2016)

ความรักที่ต้องสู้กับความไม่รัก

หญิงสาวที่ไม่ค่อยปกติทางอารมณ์และความคิดอย่าง Gabrielle (Marion Cotillard) เธอมักจะสร้างปัญหายุ่ง ๆ ให้กับครอบครัวเสมอ จนขนาดเธอเองยังรับรู้ได้ว่าไม่ได้เป็นที่รักของครอบครัวสักเท่าไหร่ ด้วยความน่าปวดหัวที่ยังต้องเลี้ยงดูเธอแม้อายุจะล่วงเลยมาถึงวัยสาวเต็มตัวแล้ว เธอจึงถูกคลุมถุงชน ให้แต่งงานออกเรือนกับ José (Àlex Brendemühl) ช่างที่อาศัยอยู่ละแวกนั้น

Gabrielle ที่เชื่อว่าหัวใจของเธอเป็นอิสระ ย่อมไม่มีทางมอบความรักให้กับคนที่เธอไม่เต็มใจจะใช้ชีวิตด้วยอยู่แล้ว ชีวิตการแต่งงานของทั้งคู่อยู่อย่างแห้งแล้งไร้ซึ่งความรัก José เองก็ไม่ได้แสดงออกถึงความรักที่มีให้เธอนักเช่นกัน เขามีบุคลิกที่เหมือนจะอยู่ขั้วตรงข้ามกับเธอ สุขุม เยือกเย็น ผิดกับ Gabrielle ที่เป็นเหมือนตัวแทนฝั่ง Emotional ที่ปล่อยให้ความรู้สึกนำทางชีวิตเสมอ

จังหวะชีวิตพาให้เธอได้เจอกับ Louis Garrel (André Sauvage) ทหารหนุ่มที่ร่างกายไม่แข็งแรงนัก เขาได้มาเติมเต็มความรักให้เธอได้ ความรักที่เธอไม่เคยได้รับจากใคร แม้แต่จากครอบครัวหรือสามีจริง ๆ ของเธอเอง แต่โชคชะตามักเล่นตลกกับคนที่กำลังมีความสุขเสมอ เธอกับเขาต้องจากกันด้วยเหตุผลบางอย่าง เธอติดต่อเขาผ่านทางจดหมายฉบับแล้วฉบับเล่า แต่ก็ไม่เคยได้รับการตอบรับใด ๆ กลับมา José เอง ต่อให้พยายามเก็บความรู้สึกไว้ยังไง แต่การมองเห็นภรรยาของตัวเอง นั่งเสียใจอยู่เช้าเย็นให้กับชายอื่น มันก็ทำให้คนเย็นชาอย่างเขาเริ่มมีความรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในใจได้บ้าง มาดูกันว่าสุดท้ายแล้ว พวกเขาจะทำยังไงกับความรักที่ไม่มีทางคว้าไว้ได้

การเล่าเรื่องจะออกไปทางนามธรรมสักหน่อย ไม่ได้โรแมนติกหรือหวาสักเท่าไหร่ ไดอะล็อกน้อย ๆ เน้นไปที่การแสดงผ่านทางอวจนภาษาของตัวละครมากกว่า โดยเฉพาะทางแววตา ที่เราจะรับรู้ถึงความรัก ความห่วงใย ความเจ็บปวด ได้ทั้งหมดผ่านทางแววตา

ระหว่างทางตั้งแต่ต้นเรื่อง เราอาจจะง่วงไปกับความหน่วงของหนัง เราจะหลงไปกับการเล่าเรื่องที่พาเราหลงทางไปไกล และพอถึงไคลแม็กซ์ที่ต้องบีบอารมณ์ หนังก็ทำออกมาได้ดี มันชวนจุกในอกเอามาก ๆ และถือว่าเป็นบทสรุปเรื่องราวของรักได้กินใจคนที่เห็นการเติบโตของตัวละครมตั้งแต่แรกอย่างคนดูอย่างเราได้ดีมาก ๆ

 

 Revolutionary Road (2008)

เมื่อความรักและความฝันไม่ใช่สิ่งเดียวกัน

พอจั่วหัวแบบนี้ อาจนึกถึงเรื่อง La La Land ที่เพิ่งเข้าฉายและสร้างความประทับใจแก่คคนดูแบบล้นหลามเมื่อปลายปี 2017 แต่เรื่องความรักและความฝันมันไม่ใช่เรื่องใหม่ของวาระความรักแห่งชาติ ก่อนหน้านี้มีเรื่องราวของ April (Kate Winslet) นักแสดงสาวที่ยอมทิ้งอาชีพที่ตัวเองรักและเป็นความฝันของ กับ Frank (Leonardo DiCaprio) หนุ่มที่ไม่เคยอยากทำงานออฟฟิศ ใช้ชีวิตเป็นเวลาเหมือนกับพ่อของเขา นั่นคือสิ่งที่เขาเกลียดที่สุด แต่ตอนนี้เขาต้องมาทำมันซะเอง เพียงเพราะมันช่วยให้ครอบครัวของเขาเดินหน้าต่อไปได้

ชีวิตคู่ของทั้งสองคนเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อทั้งสองต้องทิ้งความฝันของตัวเองเพื่อให้ได้อยู่ด้วยกันในรูปแบบของคำว่า “ครอบครัว” แต่สิ่งที่สะท้อนให้เห็นชัด ๆ คือ ความเป็น American Dream ที่บีบคั้นให้ทั้งคู่ต้องใช้ชีวิตแบบไหลไปตามสังคมรอบข้าง ทั้งที่ความสัมพันธ์ภายในมันสั่นคลอนมากเหลือเกิน

อาจจะดูน่าเบื่อ กับเรื่องที่เราเดาได้ง่าย ๆ อย่างเรื่องความฝันกับความรักที่ไม่ลงรอยกัน แต่การเล่าเรื่องนี้มันจะทำให้เราเติบโตไปพร้อมตัวละคร หัวใจพองโตไปกับความรักในตอนแรกเริ่ม ก้าวไปสู่ความมั่นคง การให้สัญญาว่าจะดูแลกัน ด้วยการแต่งงาน จนปัญหาของความรักมันเริ่มโผล่ออกมาในทุกครั้งที่ทะเลาะกัน เหมือนปัญหาที่ซุกซ่อนอยู่ใต้พรมมันออกมาให้เห็นเรื่อย ๆ จนสายตาที่เคยมองคนที่เรารักนักหนา มันไม่ใช่สายตาเดิม หรือเขาเองก็อาจไม่ใช่คนเดิมที่เราเคยรักในวันนั้นอีกแล้ว

ต้องยกนิ้วให้การแสดงของนักแสดงนำคู่บุญอย่าง Kate Winslet และ Leonardo DiCaprio ที่ไม่ว่าจะเล่นเรื่องไหน เคมีก็เข้ากันได้เหมือน Cookies And Cream เอามาก ๆ แต่นั่นหมายความว่ามู้ดของหนังจะออกมาเครียดหน่อย ถามคนที่ดูแล้วหลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าต้องดูแล้วพัก เพราะมันเครียดมากจนดูรวดเดียวจบไม่ได้จริง ๆ ยิ่งใครอินหลอเรื่องความสัมพันธ์ผัว ๆ เมีย ๆ นี่ตายไปเลยกับเรื่องนี้ เพราะมันจะให้เราเห็นการเติบโตของตัวละครตั้งแต่ตอนรักกัน ตอนยังเขินกันในเดตแรก จนไปถึงตอนกระชากเสียงใส่อีกคนได้แบบไม่รู้สึกว่ามันคือการทำร้ายความรู้สึกกัน ใครที่เป็นทีมรักรสขมอย่าพลาดเรื่องนี้เลยจริง ๆ

 

The Curious Case of Benjamin Button (2008)

เราจะทำยังไงกับชีวิตที่สวนทางกัน 

ชีวิตสวนทางกันสำหรับคุณคืออะไร ? มีเวลาไม่ตรงกัน ไลฟ์สไตล์ไม่ตรงกัน ฐานะไม่เท่ากัน อะไรทำนองนั้นหรือเปล่า ? แต่มันไม่ใช่สำหรับ Benjamin (Brad Pitt) และ Daisy (Cate Blanchett) เพราะชีวิตของทั้งสองคน สวนทางกันแบบ Litterally เมื่อ Benjamin เกิดมาก็มีลักษณะของกายภาพที่เป็นคนสูงอายุ แต่เขากลับแข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ เป็นหนุ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อมีอายุมากขึ้น และแทบจะกลายเป็นวัยรุ่นเมื่อ Daisy แก่มากพอที่จะเป็นแม่คน

คอหนังคงคุ้นเคยกับเรื่องนี้อยู่แล้วล่ะ และอาจแฟนซีกับเนื้อหาในพาร์ทการใช้ชีวิต ออกไปเผชิญโลกของ Benjamin ที่มีทั้งฉากที่สวยงามและเนื้อเรื่องสุดแฟนซีเกินกว่าใครสักคนจะนึกออกและได้ไปเจอกับมันจริง ๆ แต่วันนี้เราอยากชวนมาขบคิดในพาร์ทของความรักกันบ้าง อย่างที่รู้ว่า Benjamin เคยมีผู้หญิงที่เขารักและเทิดทูน แต่ในเมื่อไม่มีใครได้เป็นเจ้าของของสิ่งใดได้จริง ๆ ชีวิตของทั้งคู่ได้แต่โคจรออกห่างกัน จนเหลือเพียงความทรงจำที่เขาเก็บไว้เป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตเท่านั้น จนกระทั่งเขาได้กลับมาพบกับ Daisy ชีวิตคู่ของเขาจึงเริ่มขึ้นหลังจากนั้น

ด้วยชีวิตของ Benjamin ที่หนุ่มขึ้นทุกวัน แม้ว่าเขาจะรัก Daisy จนหมดหัวใจ แม้เธอจะมีอายุมากขึ้น มีริ้วรอยตามวัยก็ตาม แต่นั่นก็ไม่อาจทำให้เขาปฏิเสธความจริงได้ ว่าเขาไม่อาจมีครอบครัวกับ Daisy ได้จริง ๆ เขาจะทำยังไงในวันที่เขาดูแก่กว่าลูกเพียงไม่กี่ปีในตอนวัยรุ่น และพอลูกเป็นสาวเต็มตัว เขาจะเป็นเพียงเด็กหัดเดินเท่านั้น เขาไม่อาจปล่อยให้ชีวิตครอบครัวของเขาเป็นอย่างนั้นได้

ความเจ็บปวดในเรื่องนี้มันไม่ได้ถาโถมไปที่ Benjamin เพียงคนเดียว Daisy ก็เจ็บปวดไม่น้อยที่ต้องปล่อยให้ Benjamin เลือกทางออกที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับเรื่องนี้ มาดูกันว่าสุดท้ายแล้วเรื่องราวของรักที่สวนทางของทั้งคู่จะจบลงยังไง จะมี Solution ที่จะทำให้เรื่องนี้ออกมาเจ็บปวดน้อยที่สุด

 

Match Point (2005)

เมื่อความรักเป็นเพียงสะพาน

หนังแสบ ๆ  จากผู้กำกับตัวแสบ(ไม่แพ้หนัง)อย่าง Woody Allen ที่มักจะมีหนังคม ๆ ออกมาให้เราได้ดูกันรวมถึงเรื่องนี้ด้วย หากมองเผิน ๆ อาจจะคิดว่าเป็นหนังผัวเมียหรือเปล่า ? จริง ๆ ก็ใช่นั่นแหละ แต่เป็นหนังผัวเมียแบบที่เราไม่เคยเจอและไม่คิดว่าจะเจอด้วยเช่นกัน

Chris Wilton (Jonathan Rhys Meyers) ครูสอนเทนนิสที่มีความทะเยอทะยานไหลเวียนอยู่ภายในตัวอย่างเต็มเปี่ยม พร้อมที่จะผลักดันเขาให้ได้ทุกอย่างที่จะถีบชีวิตเขาให้มันดีขึ้นได้ แม้แต่ใช้ความรักเป็นสะพานให้ตัวเอง เมื่อเขามีโอกาสได้ใกล้ชิดกับ Chole (Emily Mortimer) เขาก็รู้แล้วว่าผู้หญิงคนนี้คือใบเบิกทางไปสู่ชีวิตที่ดีของเขาได้ ไม่ใช่เพราะเธอคือคำตอบของหัวใจ ไม่ใช่เพราะเธอคือแม่บ้าน คือคนที่จะจับมือกันสร้างครอบครัวแต่อย่างใด แต่เพราะเขารู้ดีว่าเธอหลงเสน่ห์ของเขาอย่างหัวปักหัวปำ และครอบครัวสังคมชั้นสูงจากอังกฤษของเธอก็จะรักเขาเช่นเดียวกับที่เธอรัก และเขาก็ทำสำเร็จ เมื่อเขาได้แต่งงานกับเธอ ได้เลื่อนขั้น หน้าที่การงานวิ่งฉิวเหมือนขึ้นทางด่วน 

เมื่อเขาไม่ได้มอบความรักให้ Chole สาวฮอตอย่าง Nola จึงเป็นตัวเลือกของเขา Nola สาวที่เขาหลงใหลตั้งแต่ก่อนแต่งงานกับ Chole แต่ความหลงใหลในที่นี้ ไม่ได้มีความรักเจือปนอยู่แม้แต่น้อย เขาเพียงอยากแอ้มสาวฮอตอย่างเธอ จริง ๆ ผู้หญิงทั้งสองคนเข้ามาในชีวิตเขาพร้อม ๆ กัน แต่เขาเลือก Chole เพราะเขารู้ว่าจะกอบโกยประโยชน์จากเธอได้มากแค่ไหน ส่วน Nola ก็เป็นเพียงทางสู่สวรรค์ชั้นเจ็ดของเขาเท่านั้น 

เรื่องราวมันยุ่งเหยิงขึ้นเมื่อ Nola เกิดท้องกับ Chris ขึ้นมาในสถานภาพที่คริสมีครอบครัวแล้ว มาดูกันว่าผู้ชายที่รักแต่ตัวเองอย่างคริสจะเลือกใคร และจะหาทางลงให้เรื่องวุ่น ๆ นี้ยังไง อันนี้แนะนำให้ดูจริง ๆ เพราะหนังมันไม่ซับซ้อน ไม่ได้ขมวดปมให้เก็บรายละเอียดตามอะไรแบบนั้นเลย ดูไปเรื่อย ๆ มันจะเล่าเรื่องของมันเอง แต่รับรองว่าโคตรอิมแพค

 

Corpse Bride (2005)

ความรักคือการเห็นแก่ความสุขของคนที่เรารัก

เรื่องนี้เป็นเหมือนการรวมความรักที่เป็นไปไม่ได้สุดคลาสสิกที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนไว้ด้วยกัน ตั้งแต่เรื่องของ Victor ลูกชายจากตระกูล New Money เศรษฐีหน้าใหม่ที่รวยขึ้นมาจากการค้าขาย ได้แต่งงานกับสาวในฝันอย่าง Victoria ผู้มีพร้อมทั้งหน้าตา ฐานะ และตระกูลที่สูงส่ง ตัวแทนของหนุ่มบ้าน ๆ ที่ผลักดันตัวเองให้ไปอยู่ในจุดเดียวกับสาวในฝันและได้รักกันในท้ายที่สุดอย่างที่เราคุ้นเคย

แต่การแต่งงานครั้งนี้คงไม่ได้เกิดขึ้นแน่ ๆ ถ้าครอบครัวของ Victoria กำลังจะล้มละลาย พ่อแม่ของเธอจึงต้องการหลักประกันชีวิตด้วยการให้เธอแต่งงานกับเศรษฐีหน้าใหม่ที่พวกเขาไม่ได้ชอบขี้หน้านัก ด้วยความเนี้ยบของฝั่งว่าที่เจ้าสาวและความเปิ่นตามประสาผู้ชายบ้าน ๆ จึงทำให้ Victor ต้องพยายามอย่างมากกับพิธีแต่งงาน จนต้องหนีไปซ้อมพูดให้คำสัญญาในป่าช้าและบังเอิญสวมแหวนให้กับกิ่งไม้ที่มันกลายเป็นศพของเจ้าสาวลุกขึ้นมาจากหลุม

เจ้าสาวศพสวยเชื่ออย่างเต็มอกว่านี่คือหนุ่มที่จะมาเป็นเจ้าบ่าวของเธอ แต่ก็ต้องหน้าแห้งเมื่อรู้ว่าเขามีเจ้าสาวอยู่แล้ว มาดูกันว่า Victor จะแก้เรื่องราวยุ่งเหยิงนี้ยังไง คนเป็นกับคนตายจะอยู่ด้วยกันได้จริงหรอ ? อันนี้ก็ต้องตามไปดูกันในเรื่อง

Spoil Alert!

คู่นี้เป็นภาพแทนของรักที่เป็นไปไม่ได้ รักเหลือเกิน แต่มันอยู่ด้วยกันไม่ได้ก็เท่านั้น ในเรื่องอาจจะหมายถึงคนเป็นกับคนตาย แต่ในชีวิตจริงอาจจะหมายถึงคนที่เข้ามีความรักให้กันอย่างไม่มีช่องว่างให้สิ่งใด แต่นิสัยมันไม่ Go Together มันก็เท่านั้น เพราะความรักมันไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่จะทำให้คนสองคน ได้ตื่นมาเจอหน้ากันในทุกเช้าไปจนความตายมาพรากใครคนหนึ่งไป แต่ความเหมาะสมและความสบายใจของคนที่เรารัก อันนี้คือสิ่งสำคัญมากกว่า ซึ่งเจ้าสาวศพสวยนี้ก็รู้อยู่เต็มอก และเห็นแล้วว่า Victor กับ Victoria เหมาะสมกันเพียงใด เธอไม่ได้รู้สึกหมาแต่อย่างใด แต่ก็เออ เข้าใจ และเลือกที่จะปล่อย Victor ไป เพราะเธออยากเห็นเขามีความสุข แค่นั้นแหละความรัก ง่าย ๆ แบบนี้แหละ