บอส – วสกร คุ้มเกล้าวิริยะ ผู้กำกับหนุ่มและการเดินทางสาย Fashion Film เจ้าของผลงาน “GO GIRLS” Wacoal x Post-Thesis

หนังโฆษณา “GO GIRLS” Wacoal x Post-Thesis ที่เป็นกระแสไปก่อนหน้านี้ เรื่องราวของสาวๆ ที่กับชุดนักเรียนที่ออกแบบโดย นะโม – ติณห์ ตันโสภณ ถูกเล่าเรื่องได้ต่างไปจากสิ่งที่แบรนด์ดังอย่าง Wacoal แบบที่เคยทำ ด้วยผีมือของผู้กำกับหน้าใหม่อย่าง “บอส – วสกร คุ้มเกล้าวิริยะ” ได้เป็นที่รู้จักจากหนังโฆษณา Fashion Film อย่างเรื่อง The Moment จุดเริ่มต้นของการเป็นผู้กำกับสายแฟชั่นของเขา

ไม่ใช่ว่าทุกคนจะโชคดีจบมาเป็นผู้กำกับได้ทันที กว่าจะเป็นอาชีพผู้กำกับ บอส – วสกร คุ้มเกล้าวิริยะ ก็ผ่านการเดินทางล้มลุกคุกคลานด้วยเช่นกัน

ก่อนจะก้าวเข้าสู่อาชีพผู้กำกับ ทำอะไรมาก่อนบ้าง?

ก่อนหน้าที่จะเป็นผู้กำกับ เคยทำคล้ายๆ Casting Director แคสนักแสดงเข้าสู่ M Picture ที่เป็นหนังใหญ่ หาคนที่น่าสนใจเพื่อที่จะดันให้ได้เล่นหนัง ทำอยู่ตรงนั้นได้ 3 เดือน รู้สึกว่าไม่เวิร์คเลยลาออก 

จนได้ไปทำให้แบรนด์ขนมของสวีเดนที่มาเปิดตลาดที่ไทย ตอนนั้นเป็น Creative อยู่ในทีม Marketing ทำได้ประมาณ 3-4 เดือน บริษัทเจ๊ง! เขาก็เลทุกคนออก ทุกคนได้เงินชดเชยหมด ยกเว้นเราเพราะว่าเรายังไม่ผ่านโปร

จุดเปลี่ยนของชีวิตเกิดขึ้นตรงนี้ บอสได้ย้ายมาอยู่กับ Harper’s BAZAAR เป็นแฟชั่นแมกกาซีนคล้ายๆ VOGUE เราก็ไม่ค่อยเป็นคนแฟชั่นเท่าไหร่ ถ้าเข้าไปแล้วเราน่าจะได้อะไรบ้าง ที่ Harper’s BAZAAR ทำเป็น Media Creative แต่ตอนแรกเขาอยากให้เราไปเป็น Videographer เราก็บอกว่าเราไม่เอาเราไม่ใช่ตากล้อง เราอยากทำ Media Creative เปิดให้หน่อยสิ ด้วยพื้นฐานเราก็เป็นเด็กแสบนิดนึง เราก็เบลมเขาจนเขายอมให้ทำ

จนวันหนึ่ง ปู-ชำนัญ ภักดีสุข หรือ พี่ปู BAZAAR เดินมาคุยกับเราว่า “มาทำหนังกันสักเรื่องไหม” เพราะว่าเดือนถัดไปจะเป็น Movie Issue เราก็ได้ทำหนังเรื่องหนึ่งชื่อว่า The Moment พอหนังปล่อยไปก็มี Feedback ดีๆ จนมีคนมาจ้าง “ก็ขอบคุณพี่ปูครับ” ถ้าไม่มีพี่ปูก็ไม่รู้ว่าวันนี้จะได้เป็นผู้กำกับหรือเปล่า หลังจากนั้นก็เริ่มชัดเจนในทางของอาชีพผู้กำกับมากขึ้น

เราทำอยู่ได้ประมาณ 8-9 เดือน ก็มีพี่โปรดิวเซอร์โฆษณาสายบิวตี้มาชวนไปทำด้วย เราก็ออกไปอยู่กับเขาและก็ได้เริ่มทำงานสาย Fashion Film มากขึ้น

The Portfolio

กว่าจะมาเป็นหนังโฆษณาแฟชั่นอย่าง “GO GIRLS” Wacoal x Post-Thesis ผ่านขั้นตอนอะไรบ้าง?

เราทำ Storyboard เอง รู้สึกว่ามันต้องไป มันต้องซ่าแล้ว เลยลองขายดู อย่างกระโดดยางเราก็ให้เขาฉีกกระโปรง เพราะว่าชุดมันสามารถฉีกได้ และเขาก็อยากให้พรีเซนต์ชุดด้วย ซึ่งเป็นชุดที่ดีไซน์เนอร์ออกแบบโดย นะโม – ติณห์ ตันโสภณ แล้วก็มีโปรดักส์ลูกค้า ก็เป็น Wacoal Go Girls เป็นบรา Go Girls เอเจนซี่ ก็คือ Wunderman โชคดีมากที่ Wacoal เคยทำตัวก่อนหน้านี้ โดยพี่บีม ดวงตะวัน เขาเปิดทางให้เรานิดนึงว่า Wacoal มันมีความซ่านิดๆ เราอยากลองไปให้มันสุด บางอย่างออกจากเซฟโซน Wacoal และก็รู้สึกว่างานตัวนี้คนแชร์เยอะอยู่ เพราะตัวอื่นก็เงียบๆ ฮ่าๆ

 

ผลงานชิ้นไหนของตัวเองที่ชอบเป็นพิเศษ?

เอาที่ชอบเลย คือ Ragnarok เป็นงานที่ Co-Director กับผู้กำกับอีกคน ชื่อพี่ปูน เราตกลงกันว่าจะเซ็ท Morroc ขึ้นมา มันคือเมืองทะเลทรายแล้วบอสก็เล่น Ragnarok เล่นมาตั้งแต่เด็ก เราอยากทำให้หนังที่เรากรี๊ด ไปคุยกับโปรดิวเซอร์ “พี่เซ็ทเลย” แล้วเขาก็ให้เราเซ็ท ทั้งๆ ที่เงินมันแหก เราก็บอกเขาว่า “เนี่ยมันจะมีการเซ็ท Morroc ขึ้นมาเป็นครั้งแรกของโลกเลยนะพี่” (หัวเราะ)

 

อีกตัวที่ชอบ คือ Charles & Keith เป็นแบรนด์แฟชั่น ตั้งแต่ออกจาก BAZAAR มา ใฝ่ฝันอยากจะทำแคมเปญให้แฟชั่นแบรนด์สักแบรนด์ เราก็ได้ Summer ของ Charles & Keith ปี 2020 มา

 

ล่าสุดเป็น ททท รู้สึกว่าดูแปลก อยากลองทำอะไรพิเรนทร์ๆ มันจะมีช็อตที่ก่อนที่จะเข้าสู่การท่องเที่ยวจะมีการถ่ายแมคคานิคเกิดขึ้น เราก็คุยกับตากล้อง คุยกับทุกทีมเลย ว่าจะทำยังไงดีให้ดอกไม้มันลอยขึ้นฟ้าได้ แล้วบิดนักแสดงมาอยู่ตรงกลางวงกลม ช็อตนั้นหวาดเสียวมาก ลูกค้ารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ลูกค้าไม่รู้ว่าจะถ่ายยังไง พี่โปรดิวเซอร์เขาก็บอกวันหลังนะ ถ้าจะเล่นอะไรประหลาดๆ ก็เตี๊ยมกันเยอะๆ

 

Director Profile

มีผลงานแฟชั่นมามากมาย จริงๆ แล้วสไตล์ของของเราเป็นงานแบบไหน?

งานส่วนใหญ่ที่เป็น Director Profile ก็ยังดูเป็นงานแฟชั่น ดูเป็นงานที่มี Element ของแฟชั่นประกอบ ที่จริงก็ทำอย่างอื่นได้ด้วยนะ เล่าเรื่องก็ได้ Music Video ก็ได้

จริงๆ บอสเป็นคนสไตล์ไม่ได้ชัดขนาดนั้นด้วย เราไม่ได้โดดเด่นในด้านแฟชั่นขนาดนั้น มีคนที่เก่งกว่าเราในสไตล์ของแฟชั่นหรือในสไตล์อื่นๆ ส่วนเรากลางๆ ไม่รู้เหมือนกันอะ (หัวเราะ) ไม่รู้ว่าสไตล์ของตัวเองคืออะไร เรารู้สึกว่าทุกงานที่ทำหรือทุกงานที่ลูกค้ามาจ้าง เราก็แค่อยากทำให้มันคราฟเฉยๆ ถ้างานไหนรับมาแล้ว ก็คราฟที่สุดเท่าที่จะทำได้มากกว่า

ก่อนจะถ่ายหนังสักเรื่องหนึ่ง บอสจะมานั่งคิด เห็นให้เป็นภาพเยอะที่สุดเท่าที่จะเห็นได้ ใส่ชุดนี้ ท้องฟ้าสีนี้ เลนส์กล้องต้องเป็นเล่นนี้ Anamorphic ไหม ถ้าภาพชัดแล้วก็มั่นใจ เพราะหนังเรื่องนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นมาใช่ไหม? เพราะฉะนั้นคนที่ภาพชัดที่สุดเลยก็คือเราแล้วหล่ะ เราก็ต้องมานั่งทำให้ภาพชัดมาก เราต้องเล่าให้เขาฟังว่าภาพมันเป็นยังไง

สิ่งที่จะซัพพอร์ตความชัดสำหรับบอสนะ บอสรู้สึกว่า “มันคือการที่เราดีไซน์ความรู้สึกคนดูมากกว่า” เราอยากออกแบบให้เขารู้สึกยังไง เวลาเราทำหนังตัวนี้ออกไป

ยากที่สุดก็ขั้นตอนการดีไซน์ให้เขารู้สึกนี่แหละ สมมุติว่าเราอยากให้หนังเรื่องนี้คูล เราก็ต้องมาดูว่าอะไรคือความคูล คูลแบบไหน คูลของใคร เพราะฉะนั้นเราก็ต้องมาดีไซน์ความคูลว่า เฟรมนี้แหละ มันจะต้องเดินมาแล้ว กล้องจะต้องเป็นยังไง ลูกค้าชอบแบบนิ่งๆ หรือลูกค้าชอบแบบมีชีวิต เราก็จะต้องมาดีไซน์แล้วก็มาพูดให้เขาเห็นภาพ ถ้าเขาเห็นภาพแล้วเขาจะไม่รู้สึกว่าใช่เลยหรอก อาจจะเข้าใกล้ความคูลของเขาแล้ว ถ้าไม่ใกล้เขาก็จะพูดออกมาว่าอันไหนคือไม่ใช่ เราก็ทำการบ้านต่อไป เราไม่ได้อิดออดในการแก้งาน

งานขายตรงเป็นสิ่งที่ลำบากใจหรือเปล่า?

บอสรู้สึกว่าการฮาร์ดเซลมันไม่ใช่อะไรที่คนดูไม่ชอบนะ ถ้าฮาร์ดเซลแล้วมันถูกออกแบบมาให้เขารู้สึกว่ามันตอบโจทย์ชีวิตเขา โปรดักส์นี้มันแก้ปัญหาชีวิตเขาได้ บอสว่าการฮาร์ดเซลมันก็ถูกแล้วเปล่า

หนังตัวนี้เรามีส่วนเป็นเจ้าของแต่เราไม่ใช่เจ้าของ แสดงว่ามันมีส่วนที่ลูกค้าเป็นเจ้าของด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าเขาอยากฮาร์ดเซล เราก็จะช่วยซัพพอร์ตการฮาร์ดเซลของเขาให้มันตอบโจทย์ที่สุด แต่ถ้าโดนเอาโลโก้มาแปะบนหนัง ก็จะเครียดนิดนึงเพราะเราไม่สามารถแก้โลโก้ที่โดนแปะไว้บนหนังได้ แต่ถ้าสมมุติเป็นในเชิงการเล่าเรื่อง เรารู้สึกว่าเราน่าจะออกแบบมันได้นะ ว่าสิ่งนั้นมายังไง

นอกจากอาชีพผู้กำกับ ทำอะไรอย่างอื่นด้วยหรือเปล่า?

บอสเป็น Co-Founder ของ Horoza BKK คือบริษัทจัดปาร์ตี้ที่แต่นแต้นที่สุด ณ ตอนนี้ แต่ตอนนี้เราทำแต่ปาร์ตี้ ไม่ได้ถึงกับ Organize ทำปาร์ตี้ ดีไซน์ปาร์ตี้ จุดเด่นของ Horoza คือปาร์ตี้ที่มีดูดวง มันคือ Horoscope บวกกับ Party ก็เลยเป็น Horoza ขึ้นมา แล้วคนที่เป็น Founder ชื่อ แตมป์ ทำมาได้ 4 งาน ก่อนจะเจอโควิด เครียดเลย เป็นปีที่บริษัทไม่สดใส

ใน Horoza บอสเป็น Marketing Director ทำ Marketing Plan แล้วก็ไปคุยกับทีม เพราะทีมก็แบ่งหน้าที่กัน คนนี้เป็น Creative คนนี้ดูเงิน คนนี้เป็นโปรดิวส์ คนนี้เป็นช่างภาพ เราก็แบ่งๆ กัน

ความฝันของบอสคืออะไร?

คนเรามันไม่ต้องมีความฝันเดียว ความฝันตอนที่เราเรียนฟิล์มอยู่ เราอยากเป็นผู้กำกับแต่เราก็มีความฝันอื่นด้วย ปีนี้อายุ 25 อาชีพผู้กำกับคือใช่แล้ว มันคือเวลาสำหรับความฝันที่อยากเป็นผู้กำกับ แต่เราไม่กล้าพูดว่าเรามั่นใจในอาชีพจนถึงอายุ 30 แต่ปีนี้เรามั่นใจว่ามันใช่ อาชีพนี้มันตอบโจทย์ Range ของอายุบอสตอนนี้ที่เราจะสามารถแชร์เวลาเอาไปทำความฝันอื่นๆ ได้

เป้าหมายในชีวิตต่อไปอยากทำอะไร?

มันต้องถามก่อนว่าเป้าหมายชีวิตคืออะไร สิ่งที่อยากทำคืออะไร สำหรับบอสมันแยกกัน มันจะเรียกทุกอย่างว่าความฝันไม่ได้ อย่างเป้าหมายชีวิตบอส ปัญญาอ่อนมาก คือแบบอยากมีตังค์ แล้วก็ซื้อเพนเฮ้าท์ เลี้ยงแรคคูนตัวอ้วนๆ ตัวนึง ชื่อ ‘เจฟ’ แล้วก็เลี้ยงแมวปลาสลิดตัวนึงชื่อ ‘ทีโอดอร์’  แล้วก็มีหมา

แต่สิ่งที่อยากทำในภายภาคหน้า อยากขายกาแฟดริปให้คนต้องบุ๊คเพื่อที่จะมากินกาแฟ นั่งคุยกันเพื่อจะรู้ว่าชีวิตเขารสชาติน่าจะเป็นแบบนี้ เราก็จะหันหลังกลับไป แล้วเราก็จะเลือกกาแฟที่เขาน่าจะชอบ ที่น่าจะตอบโจทย์กับสิ่งที่เขาเล่าวันนี้ แล้วก็คิดแพงๆ และก็ยังอยากทำ Horoza ให้มันดีขึ้น

 

ในยุคที่โลกหมุนไปอย่างรวดเร็ว Generation ใหม่ๆ ก็มีการพัฒนาที่ไวขึ้น จนเราอดที่จะตั้งคำถามกับตัวเองไม่ได้ว่า ในช่วงที่เราอายุเท่านี้เราอยู่จุดไหนของหน้าที่การงาน เราหวังว่าเรื่องราวของ บอส – วสกร คุ้มเกล้าวิริยะ จะช่วยเป็นแรงบันดาลใจให้เรากล้าที่จะทำสิ่งใหม่ๆ เผื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ไม่มากก็น้อย