ในวันที่เรายังอ่อนหัดให้กับความซับซ้อนระดับมวลมนุษยชาติอย่าง “ความรักครั้งแรก” รักครั้งที่เราไม่มี Filter ของสเป็กที่แสนจะยุ่งยาก เรามองใครคนนั้นด้วยสายตาของความใสซื่อที่สุดเท่าที่ใครสักคนจะมีได้
ไม่ว่ามันจะยังชัดเจนหรือเพียงแค่จางหายไปตามกาลเวลา มันจะจบลงด้วยความเข้าใจหรือความเจ็บช้ำ มันยังคงเป็นบทเรียนแรกให้เราได้ก้าวเดินไปบนเส้นทางที่มีทั้งความหอมหวานและความชอกช้ำ เรายังคงจำรอยยิ้มแรกที่ทำให้หัวใจเราแทบจะระเบิดออกมา เรายังคงจำคราบน้ำตาในวันที่โดนความร้ายกาจของความรักเล่นงานเข้าอย่างจัง
ทั้งหมดนั้นยังคงเป็นเหมือนบันทึกเล่มเล็ก ๆ ด้วยลายมือของเด็กน้อยคนนั้น ถูกเก็บเอาไว้ในซอกไหนสักที่ของความทรงจำอยู่เสมอ
The Notebook (2004)
ความสดใสดของฤดูร้อนยังต้องยอมให้ความรักที่เบ่งบานเต็มที่ของ Noah (Ryan Gosling) หนุ่มบ้านนอกที่มอบความรักอันใสซื่อแบบหมดหน้าตักให้กับ Allie (Rachel McAdams) คุณหนูจากเมืองกรุงที่มาบ้านพักตากอากาศช่วง Summer ก็พล็อตดอกฟ้าหมาวัดนั่นแหละ พ่อแม่ก็กีดกัน อยากจะให้ลูกสาวคนสวยมีคู่ชีวิตที่เหมาะสมกันในทุกด้าน
พอฤดูร้อนหมดไป การผลัดเปลี่ยนฤดูมาพร้อมกับเหตุที่ทำให้ต้องจากกัน หมาวัด Noah ไปเป็นทหาร แม่สาว Allie กำลังปลูกต้นรักกับผู้ชายที่เหมาะสมกับเธอและกำลังจะแต่งงานกัน ทั้งคู่ดูเหมือนจะลืมเลือนความรักครั้งแรกของกันและกันไปเสียหมด แต่เมื่อทั้งคู่มีเหตุให้ต้องกลับมาเจอกันที่เดิม ที่ที่ความทรงจำของคู่ยังคงอบอวลและไม่จางหายไปตามเวลา
คือเรื่องนี้สร้างมาจากนิยายของ Nicholas Sparks เจ้าเดียวกับ A Walk To Remember, Dear John, The Longest Ride และ The Last Song ทีนี้เห็นภาพแล้วสินะว่ากลิ่นอายความน้ำเน่าแบบฉบับนิยายรักเนี่ยมันมาจากไหน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพราะความน้ำเน่านี่แหละที่มันบอกเล่าความสวยของความรักของออกมาได้ดีที่สุด ต่อให้ในเรื่องมันจะน้ำเน่าแค่ไหน แต่พอมันเป็นภาพเคลื่อนไหวให้เราได้เห็นการเติบโตของตัวละครแล้ว เราจะไม่สงสัยในความรักของทั้งคู่เลย
Architecture 101 (2012)
ถ้าเป็นภาพยนตร์รักครั้งแรกของฝั่งเอเชีย หลายคนคงพุ่งเป้าไปที่ The Classic ที่มันคลาสสิกสมชื่อไปแล้ว ไม่ใช่ว่าเรื่องนี้ดีกว่า แต่ด้วยความที่ The Classic มันขึ้นหิ้งจนใคร ๆ ก็หยิบมันอยู่ในลิสต์ เราไม่อยากเห็นความเซ็งของคนที่เลื่อนมาเจอ อืม ๆ The Classic สนุกดี แต่อืม ๆ เจออีกแล้ว เลยขอหยิบเรื่องนี้ที่พูดถึงเรื่องราวรักครั้งแรกได้ซาบซึ้งไม่แพ้กัน
เรื่องแสนจะคลาสสิกอย่างการแอบรักเพื่อนร่วมชั้นยังคงเป็นสิ่งที่จี้ใจดำคนดูได้ดีเสมอ เรื่องเปิดมาด้วยสถาปนิกผู้ใช้ชีวิตไปวัน ๆ อย่าง Seung-Min (Tae-woong Eom) ต้องประหลาดใจเมื่อเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมาเป็นชาติอย่าง Seo-Yeon (Ga-in Han) มาขอให้เขาช่วยออกแบบบ้านหลังหนึ่งให้เธอ
แต่แล้วการเล่าเรื่องก็ตัดสลับไปที่เรื่องราวในอดีต เล่าเรื่องราวของ Seung-Min ในสมัยที่ยังเป็นหนุ่มขี้อาย แอบมอง Seo-Yeon ด้วยสายตาที่ชื่นชมอยู่ข้าง ๆ ในวิชาที่ทั้งคู่เจอกันอย่าง Architecture 101 ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ส่องประกายความสดใส จน Seung-Min คิดเอาว่าเธอต้องมีใจให้เขาอยู่เช่นกัน เขาจึงรอแค่เวลารวบรวมความกล้าให้มากพอ ที่จะบอกความในใจทั้งหมดของเขาออกไป แต่ก็มีเหตุให้คำนั้นไม่เคยถูกเอ่ยออกไป หนุ่มน้อยปิดปากเงียบสนิทและเลือกจะเดินหันหลังจากความสัมพันธ์นี้ (ซึ่งเหตุผลนั้นเป็นอะไรต้องไปดูกันเอาเอง)
ความรักของหนุ่มสาววัยรุ่นถูกตัดสลับไปกับเรื่องราวในปัจจุบัน ที่ทั้งคู่ต้องกลับมาเจอกันอีกครั้งในอีกช่วงชีวิตหนึ่ง ที่ทั้งคู่เติบโตจากความเจ็บปวดในอดีต สิ่งหนึ่งที่ชอบมากของเรื่องนี้คือ ตัวละครไม่ได้เป็นคนแสนดี ใช้ชีวิตถูกต้องตามแบบฉบับของพระนางอย่างที่คุ้นเคยกัน มาทางนี้ก็ต้องลุ้นรีเทิร์นกันแล้วใช่มั้ยล่ะ แต่เรื่องนี้จะไปทางไหนก็ต้องไปลุ้นกันเอาเอง ไม่เล่าหรอก เพราะนี่ก็เล่าจนจะจบแล้วเนี่ย!
6 Years (2015)
เราจะให้อภัยแก่การนอกกายและนอกใจของเขาได้กี่ครั้ง ? เราจะมองข้ามความงี่เง่า เจ้าอารมณ์ ของเธอได้กี่ครั้ง ? เราจะทำยังไงเมื่อความรักมันไม่อาจก้าวไปพร้อมเราได้ เมื่อชีวิตถึงจุดที่เราต้องเติบโตแล้ว ? ความรักที่บ่มเพาะด้วยความไร้เดียงสา เดินทางเข้าสู่ปีที่ 6 ตามชื่อเรื่อง Melanie (Taissa Farmiga สาวน้อยผมบลอนด์จาก American Horror Story นั่นแหละ) และ Dan (Ben Rosenfield) ต่างประคับประคองความรักที่แสนระหองระแหงตามประสาวัยรุ่นมาเกินครึ่งทศวรรษ (ฟังแบบนี้แล้วรู้สึกเวอร์มาก)
ทั้งเขาและเธอต่างก็เป็นวัยรุ่นทั่วไป สาวเจ้าอารมณ์ ผู้ต้องการให้แฟนหนุ่มเป็นทุกอย่างดั่งใจหวัง หนุ่มน้อยที่หมาหยอกไก่ไปเรื่อย แต่ก็ยืนยันว่ารักแฟนแค่คนเดียว (เป็นงง) ต่อให้ฟังดู Fucked Up ขนาดไหน แต่ทั้งคู่ยังเชื่อว่าจะได้ใช้ชีวิตด้วยกัน ชีวิตคู่ที่เติบโตไปมากกว่าการเป็นแฟนกันอย่างยาวนานแบบที่เป็นในตอนนี้
แต่อย่างที่หลายคนคงมีช่วงเวลานี้ ใครคนนั้นที่เรามอบความรักให้ เขาไม่อาจเป็นคนที่เดินไปในทางของอนาคตที่เราหวังไว้ ความเจ็บปวดที่เรามีคำตอบในใจแต่ไม่สามารถเอ่ยปากออกไปได้อย่างง่ายดาย
ดูไปดูมามันก็เหมือนดูชีวิตแฟนคู่นึงผ่านกล้อง Handy Cam ที่สั่นสะเทือนตลอดเวลา ให้ความรู้สึกแพนด้าแชแนลเล็กน้อย ทั้งคู่งี่เง่า หวานซึ้ง ประสาทแดก ดื่มด่ำความรักที่มอบให้กัน ระเบิดอารมณ์ใส่กัน บางซีนก็มากเกินความจำเป็น งงไปหมด แต่เข้าใจว่านั่นคือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับเราอยู่เสมอ มันยิ่งทำให้เราอินไปกับเรื่องนี้ แม้มันจะไม่ใช่เรื่องของเราเองก็ตาม
Like Crazy (2011)
ความรักที่เติบโตไปพร้อมกับเรา มักจะไม่ได้สอนเราแค่ในบทเรียนของความโรแมนติก แต่จะเป็นเรื่องของ Coming Of Age เช่นเดียวกับเรื่องของคู่นี้ Anna (Felicity Jones) และ Jacob (Anton Yelchin) คู่รักที่เป็นทุกอย่างให้กัน ทั้งคนรัก ทั้งเพื่อนคู่คิด ราวกับว่าเกิดมาเพื่อกันและกัน แต่ด้วยความซุกซนและความคิดที่ยังตื้นเขินของวัยรุ่นเลือดร้อน ทำให้ Anna อยู่เกินกำหนดของวีซ่า ทั้งคู่ไม่อาจเจอกันได้ง่ายอีกต่อไป
Jacob เมื่อเรียนจบแล้วว เขาจำต้องอยู่ทำงานต่อที่อเมริกา Anna ต้องกลับบ้านเกิดที่อังกฤษ ทั้งคู่จำเป็นต้องใช้ชีวิตของตัวเองในระยะทางที่แสนห่างไกลมาเป็นตัวแปรหลักที่ทำให้เกิดช่องว่างขนาดใหญ่ของความรักที่เคยมีอย่างเปี่ยมล้น
แม้ชีวิตจะบังคับให้ทั้งคู่ต้องเดินในทางที่ห่างกันออกไป ระหว่างที่ไม่มีกันเกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย จนพบว่าสุดท้ายแล้ว ทั้งคู่พบว่า ต่างคนต่างเป็น Comfort Zone ให้กันและกันอยู่เสมอ แต่เมื่อเราเติบโตขึ้นไปเรื่อย ๆ เรากลับไม่ได้เป็นตัวเองคนเดิมในวันวานเช่นกัน มาดูกันว่าทั้งคู่จะยังคงมีความรักของหนุ่มสาวในวันนั้นให้กันอยู่เหมือนเดิมมั้ย
เรื่องนี้มีความคล้ายคลึงกับ 6 Years แต่เป็นเวอร์ชั่นที่ไม่ฟูมฟายขนาดนั้น และโตขึ้นมาอีกนิดนึง แต่ก็อยากให้ดูทั้งคู่นั่นแหละ เพราะมู้ดมันใกล้เคียงกันมากจริง ๆ
The Great Gatsby (2013)
หลายคนอาจจะมีเจ้าของความรู้สึกอบอุ่นเหมือนแดดในตอนเช้า ที่ยังคงกินพื้นที่ในหัวใจของเราเสมอ แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่ได้อยู่ข้างกายเราแล้วก็ตาม เช่นเดียวกับ Daisy (Carey Mulligan) สาวน้อยจากครอบครัวสังคมชั้นสูง ผู้มี Jay Gatsby (Leonardo DiCaprio) อยู่ในใจของเธอเสมอ แม้ว่าตอนนี้คนที่อยู่เคียงข้างเธอจะเป็นผู้ดีเก่าอย่าง Tom Buchanan (Joel Edgerton) ที่ทุ่มเทความรักทั้งหมดที่เขามีให้กับเธอ ผู้พร้อมจะหาดาวและเดือนมาให้เธอได้หากเธอเอ่ยปากขอ
แต่เรื่องราวรักสามเส้านี้ จะถูกเล่าผ่านมุมมองของ Nick Carraway (Tobey Maguire) ญาติทางสายเลือดของ Daisy ที่บังเอิญเข้ามาพัวพันกับเรื่องราวนี้อย่างไม่ตั้งใจ เขาได้เห็นความรัก ความเจ็บปวด ความเห็นแก่ตัว และความเสียสละ จากแต่ละคนผ่านเรื่องราวยุ่งเหยิงนี้
Nick บังเอิญเป็นเพื่อนบ้านของ Jay Gatsby มหาเศรษฐีลึกลับ ผู้จัดปาร์ตี้ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองที่คฤหาสน์ของตนเอง ด้วยความจริงใจออกไปทางซื่อ ทำให้ความสัมพันธ์ของ Nick กับ Gatsby ผู้ที่ถูกหวังผลประโยชน์มาโดยตลอด รุกคืบไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เขาเป็นเพื่อน เป็นที่ปรึกษา และได้เป็นพ่อสื่อ เมื่อได้รู้ว่าแท้จริง Gatsby คือรักแรกของ Daisy และต้องการที่จะพาเธอกลับมาอยู่ในอ้อมอกของเขา
หลังจากนี้ก็จะเป็นเรื่องราวของความโรแมนติกที่ Gatsby ทำทุกอย่างเพื่อ Daisy หนังจะค่อย ๆ เฉลยปมในอดีตออกมาเรื่อย ๆ จนเราเริ่มตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเชียร์ใคร ระหว่างรักแรกผู้ไม่เคยหมดหวัง แม้จะต้องคลาดกันไปนานถึงห้าปี กับ รักครั้งใหม่ ผู้ทุ่มเททุกอย่างให้ แม้จะเป็นคนงี่เง่าในสายตาคนอื่นยังไง แต่สำหรับเธอ เขาจะเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดให้เธอเสมอ
จนมีซีนชิบหายเพราะความรักกันมานักต่อนัก Daisy ต้องทนอยู่กับผู้ชายที่เหมาะสม แต่ไม่เคยได้หัวใจของเธอไปครอบครอง Tom Buchanan แม้จะทุ่มเททุกอย่างให้ แต่ก็ไม่เคยได้ความรักอย่างแท้จริงจากเธอ Gatsby ตะเกียกตะกายขึ้นมาให้ได้ยืนอยู่ข้างหญิงสาวที่เขาเทิดทูนในวันที่สายเกินไป แต่ละตัวละคร ต่างมีความผิดพลาดและความน่าสงสารในตัวเองกันทั้งนั้น เหมือนเราในชีวิตจริงนั่นแหละ ที่มักจะทำอะไรโง่เง่าเพื่อความรักอยู่เสมอ
สุดท้ายแล้วไม่ว่าความรักครั้งแรกของเราจะเป็นเรื่องราวดี ๆ หรือเป็นฝันร้ายที่ไม่อยากกลับไปมอง การเดินหน้าต่อเพื่อให้ตัวเราเองเติบโตขึ้น ไม่ว่าจะเรื่องความรักหรือชีวิต ก็ยังคงเป็นสิ่งที่เราควรโฟกัสในตอนนี้มากที่สุด
หากไม่อาจลืมเลือนได้ (เพราะไม่ได้เป็นอัลไซเมอร์อะ ยังไงก็ต้องจำได้บ้างแหละ) โปรดเก็บเรื่องราวครั้งนั้นลงลิ้นชักในมุมที่ลึกที่สุด และ Moving On กับภาพจริงตรงหน้ากันเถอะ