“ห่วย” “ไม่ได้เรื่อง” คำนิยามที่เรามักจะเคยโดนแปะป้ายหรือแม้แต่เราเองนี่แหละที่ลงมือแปะคำนี้ลงบนหน้าผากตัวเอง ในวันที่เราทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ ความพยายามไม่สัมพันธ์กับผลลัพธ์ที่ออกมา ความตั้งใจและหยาดเหงื่อที่ทุ่มเทลงไปจึงไม่มีความหมาย อยากจะลุกขึ้นมาสู้กับคำสบประมาททั้งหลายแต่ก็เหน็ดเหนื่อยเกินไปที่จะเสียเวลาไปกับการแก้แค้นที่ไม่ได้อะไรกลับมา
เรื่องราวนี้มันคุ้น ๆ มั้ย ? เพราะช่วงเวลาล้มเหลวมันเคยเกิดขึ้นกับเราทุกคนนั่นแหละ ไม่ได้จะ Life Coach พ่นคำคมคนเท่ให้กำลังใจใครหรอก เพราะตัวเองก็ยังเอาไม่รอดเหมือนกัน เลยอยากชวนคนขี้แพ้มากอดคอกันดูหนังที่เราแนะนำ เรื่องราวของตัวละครที่ชีวิตห่วยแตกไม่แพ้กับเรา
จาก คนขี้แพ้ที่แพ้แม้กระทั่งยาแก้แพ้
Demolition (2015)
ผัวเฮงซวย
รับบทผู้ชายนิสัยเสียโดย Jake Gyllenhaal เป็นหนุ่มผู้ใช้ชีวิตไปแบบลอยลม ไม่ใช่ในหน้าที่การงานที่เขาทำได้ห่วยแตก ตำแหน่งของเขาในบริษัทไม่ได้ขี้เหร่เท่าไหร่ นั่นเป็นเพราะบารมีเมียด้วยที่ทำให้เขาได้ตำแหน่งที่มั่นคง แต่มันคือชีวิตคู่ต่างหากที่เขาไม่เคยทำมันได้ดีเลย ความสัมพันธ์ของเขากับ Julia กระท่อนกระแท่นมาตั้งแต่เธอยังมีชีวิตอยู่เพื่อบ่นเขาเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่ทุกวัน โดยสิ่งที่เขาทำคือตาลอยหูซ้ายทะลุหูขวาไปวัน ๆ (ผู้ชายคงนึกภาพออกสินะ) แม้กระทั่งในตอนที่เมียตายจากเขาไปก็ตาม น้ำตาแห่งความสูญเสียไม่เคยไหลรินออกมาจากดวงตาของเขา
การจากไปของ Julia ไม่ได้ทำให้เขาเสียใจ แต่ทำให้เขาเสียศูนย์ เขาเริ่มใช้ชีวิตตามใจตัวเองแบบที่อยากทำมาตลอดแต่ไม่เคยได้ทำ เพราะ Julia คาดหวังให้เขาเป็นสามีที่ดีอย่างที่เธอหวังไว้ เขากลับพบว่า ยิ่งใช้ชีวิตเละเทะอย่างที่เขาอยากทำเท่าไหร่ เขากลับยิ่งมีความสุขเท่านั้น ยิ่งเขาได้เจอกับสองแม่ลูกสุดเพี้ยนที่เหมือนมาพาเขาออกจากกรอบที่ Julia และครอบครัวของเธอวางไว้ให้ เขายิ่งค้นพบคำตอบว่าที่ผ่านมาทำไมเขาถึงไม่เคยมีความสุขกับชีวิตคู่เลย เพราะเขาเองนี่แหละที่ห่วยและน่าเบื่อไม่แพ้กับเมียที่เขาเบื่อมาตลอด
เหมือนทุกตัวละครต่างมีเรื่องราวที่พังซ่อนอยู่ข้างใน แต่ละคนต่างมีวิธีซ่อมแซมตัวเองที่แตกต่างออกไป เรื่องนี้ทำให้เราได้เห็นวิธีการรับมือกับความสูญเสียของแต่ละตัวละคร ที่บ้า ๆ บอ ๆ ไปเสียหน่อย แต่ถ้าตัวเราเองทำได้ในชีวิตจริง เราก็คงเลือกทำแบบนั้นเช่นกัน ต้องขอบคุณการแสดงของ Jake ที่ถ่ายทอดความเคว้งคว้างที่อยู่ข้างในออกมาทางสายตาได้แบบหมดจด เนื้อเรื่องอาจจะชวนง่วงไปหน่อย เพราะไดอะล็อกน้อยและการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างเฉพาะตัว
The Place Beyond the Pines (2012)
หัวหน้าครอบครัวที่ไม่ได้เรื่อง
ลำพังการใช้ชีวิตของ Luke ตัวคนเดียวก็เรียกว่าห่วยได้เต็มปากแล้ว หนุ่มนักบิดหน้าหล่อ รับบทโดย Ryan Gosling ลืมภาพหนุ่มเนี้ยบที่เราคุ้นเคยไปได้เลย ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกดูจะเป็นจิ๊กโก๋แบบเต็มตัว รอยสักสะเปะสะปะ แฟชั่นเสื้อยืดย้วยกลับตะเข็บ พร้อมกับคาบบุหรี่ตลอดเวลา แต่นั่นกลับทำให้เขามีเสน่ห์เหลือร้ายในสายตา Romina แม่ของลูกที่ไม่ยอมบอกกับเขาว่าเจ้าเบบี๋คนนี้คือเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา เพราะอีตา Luke เนี่ยก็ไม่ได้ติดต่อเธอเองมานานนับปี เธอเลยเดินทางสาย Strong แบบไม่พึ่งไอ้หนุ่มหัวทองคนนั้นอีกต่อไป เธอเลี้ยงลูก ทำงาน มีแฟนใหม่ ครอบครัวที่อบอุ่นไปเรียบร้อย
จนกระทั่ง Luke มาเจอความจริงด้วยตัวเอง พอรู้ว่าตัวเองเป็นพ่อคน วิญญาณความเป็นพ่อเข้าสิงจนทำให้เขาตัดสินใจอะไรตื้นเขิน ซึ่งไอ้การตัดสินใจแบบตื้นเขินของเขาเนี่ย แสดงถึงวุฒิภาวะของตัวละครได้เป็นอย่างดี เราไม่ได้ Surprised เลยสักนิดที่ Luke ตัดสินใจแบบนี้ เขาลาออกจากงานนักบิดใน Festival มาเป็นโจรปล้นธนาคารแทน แม้ในตอนแรกเขาจะต้องการเพียงเงินจำนวนหนึ่ง เพื่อเลี้ยงดูลูกเมีย ทดแทนช่วงเวลาที่เขาหายไป แต่พอยิ่งได้เงินมากเท่าไหร่ เขายิ่งรู้สึกย่ามใจกับการได้อะไรมาง่าย ๆ แค่งานเดียวจึงไม่พอทับถมกิเลสในใจ
หลังจากภารกิจการปล้นก็จะเป็นเรื่องราวของอีกตัวละครที่เด่นไม่แพ้กัน อย่างตำรวจหน้าใหม่ Avery ซึ่งความน่าสนใจคือ Avery ลึก ๆ แล้วไม่ได้เป็นคนดีเอาซะเลย แต่ดันมีอาชีพ ครอบครัว สภาพแวดล้อมที่หล่อหลอมให้เป็นคนดี เลยต้องไหลไปตามบทที่ตัวเองได้รับ ทีนี้มันจะต่อด้วยเรื่องราวรุ่นลูกของทั้งสองหนุ่ม ซึ่งรุ่นเด็ก ๆ เนี่ย ถอดแบบนิสัยพ่อมันมาไม่มีผิด เรื่องนี้เลยชี้ให้เห็นชัด ๆ อีกอย่างว่า การเป็นพ่อของทั้งสองคนส่งผลถึงลูก ๆ ของเขาอย่างชัดเจน
เนี่ย เล่าเยอะแล้ว มากกว่านี้คือสปอยล์แล้ว เอาเป็นว่าแนะนำ ต้องลอง นอกจาก Ryan ที่หล่อไม่ลืมหูลืมตาแล้ว อีกสิ่งที่เพลิดเพลินใจในเรื่องนี้คือสี สีสวยมาก คุณเอ๊ย
Juno (2007)
เด็กสาวผู้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ เฉพาะในโลกของตัวเอง
งงมากที่ฉีกมาทางนี้ แต่แม่สาว Juno (Ellen Page) ก็เป็นอีกหนึ่งตัวละครที่ใช้ชีวิตด้วยความไร้เดียงสาตามวัยของตัวเองล้วน ๆ ความไร้เดียงสาที่ว่านั่นคือความมั่นใจในตัวเองตามประสาวัยรุ่น มั่นใจว่าตัวเองเติบโตพอที่จะใช้ชีวิตแบบไม่ต้องพึ่งพาใคร คิดแบบไหนทำแบบนั้น จนวันนึงยัย Juno ตัวจี๊ดกับแฟนหนุ่มสุดเห่ยเกิดมีเบบี๋ด้วยกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ ปัญหาท้องในวัยที่ไม่พร้อม เหมือนจะผลักดันให้หนังเข้าโหมดดราม่าปัญหาชีวิต (แบบเรื่องอื่น) แต่เรื่องนี้กลับไม่ได้ดราม่าอย่างที่คิด ทางลงของเรื่องนี้สำหรับ Juno คนเก่ง (เพราะคิดว่าตัวเองยังเก่งอยู่) เลือกที่จะเก็บเด็กไว้ให้ครอบครัวที่ไม่สามารถมีลูกได้
อะ เท่านี้แหละ ความสนุกมันอยู่ที่เราจะได้เห็นยัย Juno ตัวแสบเติบโตจากวัยไร้เดียงสา เข้าใกล้ความเป็นผู้ใหญ่ด้วยปัญหาท้องในวัยเรียนที่เธอต้องเจอและแก้ปัญหาไปพร้อมกับแฟนหนุ่ม ผ่านคำแนะนำที่บางเบาจนเหมือนเสียงกระซิบของพ่อ และในที่สุดที่เธอโตขึ้นมาอีกนิด เธอถึงได้รู้ว่าสิ่งที่พ่อเธอพูดเหมือนสายลมในตอนนั้น ช่างมีน้ำหนักต่อชีวิตของเธอแค่ไหน เรื่องนี้จึงรวมเรื่องราวปัญหาวัยทีนไว้แทบจะครบทุกอย่าง ทั้งการปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน ๆ การเป็นตัวประหลาดของสังคม เด็กน้อยที่ไม่ฟังใคร หรือแม้แต่ปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัว
นอกจากเนื้อเรื่อง Coming Of Age ที่ดูกันเพลิน ๆ แล้ว ยังมีเพลงที่ฟังเพลิน ๆ ที่อยากแนะนำอีกเพลง เหมือนจะอยู่ในโฆษณา AXE สักตัวด้วยมั้ง (ถ้าจำไม่ผิด ถ้าจำผิดก็คือไม่ใช่ แง้)
Megamind (2010)
วายร้ายผู้ถูกกำหนดมาให้แพ้
เรื่องนี้ขอแนะนำกันตั้งแต่เริ่มว่า ควรดูทั้งเสียงต้นฉบับและเสียงพากย์ไทย ตลกกันไปคนละแบบ เสียงของตัวเอกอย่าง Megamind พากย์ไทยโดยเจี๊ยบ เชิญยิ้ม ตลกมาก ต้องให้
เห็นโปสเตอร์แล้วอาจจะคิดว่ามันคือแอนิเมชั่นเด็ก ๆ ไว้ดูใน Family Time กันสินะ แต่จริง ๆ เนื้อหามันเสียดสีเก่ง ออกไปทางประเภท Anti Hero ด้วยซ้ำ มันซ่อนการจิกกัดไว้ในบทได้อย่างแยบยล ถ้าฟังผ่าน ๆ อาจจะไม่คิดอะไรหรอก มันก็ดู Flow ไปตามเรื่อง แต่พอลองมาขบคิดดี ๆ เชี่ย จิกกัดสังคมบูชาฮีโร่แบบเต็ม ๆ สังคมที่ต้องมีฮีโร่สักคนไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยว เป็นที่พึ่งทางใจ
เข้าเรื่องยัง ? เข้าเรื่องแล้วจ้า เจ้า Megamind เนี่ย ก็เป็นวายร้ายที่มาจากดาวอื่น โตมาในคุก เลยโดนปลูกฝังให้เป็นวายร้ายกันตั้งแต่หัดเดิน ร้ายตามสูตรหนังฮีโร่ เก่งเรื่องประดิษฐ์ของเล่นป่วนชาวบ้าน ร้ายแบบอยากยึดครองโลก อยากออกไปต่อยตีกับฮีโร่คนเท่ พังบ้านเมืองเล่น ๆ พอถึงวัยเรียนเลยได้ออกไปเจอสังคมภายนอก แถมยังได้เรียนชั้นเดียวกับ Metroman ฮีโร่หัวทองสุดเท่ ที่ทำอะไรก็ดูจะถูกใจเพื่อนร่วมชั้นและคุณครูไปเสียหมด จนเขารู้สึกชัดเจนตอนนั้นแหละว่าสิ่งที่เขาเก่งคือ เป็นวายร้ายเก่งงงงง นั่นเอง
Megamind ก็ตามตบตีกับ Metroman ไปเรื่อย ๆ จนวันนึงเกิดฟลุ๊กเขี่ย Metroman ไปพ้นทางได้จริง ๆ อย่าว่าแต่ชาวบ้านชาวเมืองช็อกเลย เจ้าตัว Megamind เองก็ช็อกพอกัน ในช่วงแรกเขามีความสุขกับชัยชนะที่มาถึงเขาสักที แต่พอไม่มีใครจะต่อกรด้วยก็เหงา เหมือนเด็กไม่มีเพื่อนเล่น อะ หลังจากนี้ก็ต้องมาดูกันว่าเขาจะทำยังไงกับชัยชนะที่แสนน่าเบื่อนี้ และจริง ๆ แล้วเขาต้องการอะไรกันแน่
Nightcrawler (2014)
ไอ้ขี้แพ้ที่เห็นแต่ตัวเอง
นักข่าวแสนเจ้าเล่ห์อย่าง Louis Bloom (Jake Gyllenhaal) ทำทุกอย่างเพื่อถีบตัวเองขึ้นมาจากชีวิตอันห่วยแตก ชีวิตในห้องรูหนู อยู่ไปวัน ๆ ของเขา เขามองเห็นช่องทางที่จะพาตัวเองออกจากความจนกรอบนี้ด้วยการเอากล้อง Handy Cam ถ่ายภาพข่าวส่งให้ตามสำนักข่าวต่าง ๆ ยิ่งได้ภาพไว ใกล้ชิด และสะเทือนใจ ยิ่งเป็นที่ต้องการของสื่อ เขาทำตัวเหมือนหนูท่อที่คอยทึ้งเศษอาหารไปเรื่อย ๆ จนคำว่าจรรยาบรรณหายไปจากสมอง ความเห็นแก่ได้เริ่มกลืนกินเขาไปเรื่อย ๆ จนลงมือทำสิ่งที่เลวร้ายกว่าที่ตัวเขาเองคาดไว้ในตอนแรก เมื่อสิ่งที่เขาทำแทนที่จะได้รับผลลัพธ์แย่ ๆ มันกลับทำให้เขาลืมตาอ้าปาก ผงาดขึ้นมาในวงการสื่อได้ซะเฉย ๆ ความขี้แพ้ของเขาในตอนแรกมลายหายไปหมดสิ้น เมื่อเขาเริ่มมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่เขาเปลี่ยนตัวเองจากไอ้ขี้แพ้กลายเป็นปีศาจแทนน่ะสิ
เราจะได้เห็นว่าความดำมืดในจิตใจคนเรา มันผลักให้เราทำสิ่งสุดแสน Evil ลงไปได้มากแค่ไหน ต้องชื่นชม Jake ที่ลดน้ำหนักจนผอมแห้ง เชื่อแล้วว่าเป็นฟรีแลนซ์ไส้แห้งจริง ๆ พ่อคุณเล่นได้ถึงบทมาก ๆ น่ากลัวมาก ๆ ไอ้บ้าเอ๊ย